วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หนังสือพิมพ์ไทยสยามเปิดประตูวัด


หนังสือพิมพ์ไทยสยามคอลัมน์เปิดประตูวัด

อภินิหารพระพุทธรูปสร้างด้วยอิฐโบราณ
ผสมน้ำเกสรดอกไม้และน้ำเปลือกไม้
พระเจ้าใหญ่องค์แสน วัดโพธิ์เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

ในคอลัมน์เปิดประตูวัด ฉบับนี้ ณ วงเดือน เปิดคอลัมน์ขึ้นมาเพื่อแนะนำวัดดี-วัดเด่น ทั้งในประเทศและทั่วไปซึ่งจะแนะนำมาลงไปเรื่อย ๆ ในคอลัมน์ ฉบับนี้ทางผู้เขียน แนะนำวัดดีๆ ในเขตภาคอีสาน คือที่จังหวัดอุบล ฯ ก่อนเป็นแห่งแรก
มารู้จักพระเจ้าใหญ่องค์แสนกัน ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ก็ถือได้ว่ามีความศักดิ์สิทธ์อภินิหารปรากฏ
มามากมายเลยทีเดียว
ที่วัดโพธิ์เขมราฐ ในตัว อ.เขมราฐ  จ.อุบล ฯ คือวัดที่ประดิษฐานพระเจ้าใหญ่องค์แสน พระพุทธรูปที่ก่อด้วยอิฐโบราณผสมกับน้ำเกสรดอกไม้ และน้ำเปลือกไม้เพื่อให้ดินยึดกันเป็นเนื้อเดียวกัน และคงความทนทานเหนียวแน่นและคงความมีกลิ่นหอมเฉพาะมาตลอดกว่าสองร้อยปีเลยทีเดียว ความเป็นมาคร่าว ๆ ว่าเมื่อราวปี พ.ศ. ๒๓๓๐ สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตี
เวียงจันทร์ และต้อนผู้คนมาเมืองสยาม ผู้คนจำนวนมากหนีตายมาตามลำน้ำโขง และพากันมาถากถางป่า เพื่อตั้งเป็นบ้านเรือนกันอยู่ ณ ที่บริเวณดังกล่าว
ขณะที่พากันถากถางป่าออกนั้น พบว่ามีพระพุทธรูปตั้งอยู่ก่อนแล้วบนแท่นเก่า ๆ ใต้ต้นโพธิ์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๑.๐๙ เมตร สูงรวมเกศ ๑.๕๙ เมตร นั่งหันพระพักตร์ลงไปทางแม่น้ำโขง ซึ่งพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว สร้างด้วยอิฐโบราณผสมน้ำเกสรดอกไม้ และน้ำเปลือกยางไม้ ชาวบ้านจึงได้ตกลงพร้อมใจกันตั้งวัดขึ้น ชื่อว่าวัดโพธิ์ ตามที่ได้พบพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว และตั้งบ้านเรือนอยู่โดยรอบ และตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านกงพะเนียง โดยในวันเพ็ญ เดือน ๔ ( ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ) ของทุกปี จะจัดงานฉลองสมโภชน์พระคู่บ้านเป็นประจำมาโดยตลอด ซึ่งในวันแรกของเทศกาลไหว้หลวงพ่อองค์แสน ในทุกปีจะมีฝนตกลงมา อย่างมืดฟ้ามัวดิน ลมโหมพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง เป็นอย่างนี้มาตลอดซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกแต่อัศจรรย์ที่ยังปรากฏถึงทุกวันนี้ และผู้คนทั่วไปในเขตนั้นจะไปทำมาหากินต่างถิ่น ต่างที่ ก็จะมาขอโชคขอพร เพื่อการทำมาหากิน ก่อนจะเดินทางไปที่อื่นเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัย และทำมาหากินให้ได้บรรลุอย่างที่ตั้งใจไว้
ปัจจุบันวัดโพธิ์แห่งนี้ มีเจ้าอาวาสเป็นท่านพระครูวรกิจโกวิท และเป็นเจ้าคณะอำเภอเขมราฐด้วยอีกตำแหน่ง ในวันที่ผู้เขียนได้ไปกราบนมัสการ ยังได้รับความเมตตาเป็นอย่างดี และได้พาไปดูพระพุทธรูปหินหยก มีค่ามหาศาลที่วัดอีกด้วย ใครที่ยังไม่เคยไปกราบไหว้  หรือเที่ยวชมก็ลองแวะไปกราบไหว้เที่ยวชมกันได้ครับ ที่วัดโพธิ์เขมราฐ ทางไปที่ว่าการอำเภอเขมราฐหลังเก่าติดท่าแม่น้ำโขงครับลองไปเที่ยวดู และลองขอโชคลาภขอพรกันดูครับ...
ณ วงเดือน

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วัดอนามัย



หนังสือพิมพ์ไทยสยามคอลัมน์เปิดประตูวัด

พระสงฆ์นักพัฒนา...
ดินแดนอำเภอแคนดง

เจ้าอาวาสวัดอนามัย  

และเจ้าคณะตำบลแคนดง เขต ๑
พระมหาเย็น สิริมงฺคโล  เจ้าอาวาสวัดอนามัย ต.แคนดง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ พระสงฆ์ ที่ชาวพุทธบริษัททั้งหลาย ควรเชิดชู

ประวัติโดยย่อ
พระมหาเย็น สิริมงฺคโล (เย็น จันทร์สุด)
ชื่อเดิม เย็น นามสกุล จันทร์สุด เกิดวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๒
ตรงกับวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๕ ปี ฉลู
บิดา-มารดา นายลิ่น – นางลิน จันทร์สุด
สถานที่เกิด บ้านคึมหญ้านาง เลขที่ ๕๕ หมู่ที่ ๓
ต.วังไม้แดง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา
บรรพชา เมื่อวันที่ ๓๑ เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘
มี พระครูสมุห์คุณ จนฺทสโร เป็นพระอุปัชฌาย์
วัดคลองธรรมมิการาม ต. หนองมะเขือ อ. พล
จ. ขอนแก่น
อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๐ เดือน เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๗
ได้รับฉายา “สิริมงฺคโล” มี พระครูนิภัทรธรรมาภรณ์
เป็นพระอุปัชฌาย์
วัดเขาล้อ ต. ดอนคา อ. ท่าตะโก จ. นครสวรรค์
ประวัติการศึกษา
พ.ศ.๒๕๑๑ สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดนครสวรรค์
พ.ศ.๒๕๔๗ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค สำนักเรียนวัดพิชัยญาติการาม กทม.
พ.ศ.๒๕๕๓ ปริญญาตรี พุทธศาสตร์บัณฑิต เอกพุทธศาสนา จาก มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยา
สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดอนามัย
พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลแคนดง เขต ๑
ผลงาน
l จัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนทุก ๆ ปี
l จัดตั้งศูนย์โรงเรียนวันอาทิตย์
l จัดตั้งศูนย์สอนวิชาคอมพิวเตอร์แก่บุคคลทั่วไป
l อบรมธรรมะอุบาสก-อุบาสิกา ภายในพรรษา ทุก ๆ ปี
l เป็นวิทยากร ถวายความรู้แด่พระสงฆ์ทั่วไป
l เป็นวิทยากร อบรมธรรมะแก่ข้าราชการ และคณะบุคคลทั่วไป
l พัฒนาศูนย์การเรียนรู้ทั่วไป ภายในวัดอนามัย
l พัฒนาก่อสร้างเสนาสนะสงฆ์ภายในวัดอนามัย
l พัฒนาก่อสร้างศาลา ฌาปนสถาน ๑ หลัง
l พัฒนาสร้างถนนคอนกรีตภายในวัด

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โลกกีฬาตกปลาไทย

 หนังสือพิมพ์ไทยสยาม

คอลัมน์โลกกีฬาตกปลาไทย 
ลุง ส.ขอเขียนเรื่องราวเกมส์ตกปลาทะเล ก่อนเข้าไป
ท่องเที่ยวในโรงพยาบาลรามาธิบดีเพียง 2 วัน หลังจาก
เรื่องตกปลาทะเลก็จะเขียนเรื่องราวเข้าไปท่องเที่ยวใน
โรงพยาบาลรามาธิบดี แล้วได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ จาก
วิธีการรักษาโรคหัวใจของเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยทางเทคโนโลยี่ ของสถาบันการแพทย์ไทยยุคสมัยปัจจุบัน มีความก้าวหน้าล้ำยุคในการรักษาผู้ป่วยที่ไม่ต้องไปนอนรักษาใน
โรงพยาบาล ใช้เวลานานๆเปลืองเตียงเปลืองหมอและพยาบาลคอยดูแลรวมถึงญาติๆ ผู้ป่วยอีกด้วย
ครับ หลังเข้าทำหัดการทางหัวใจ ตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคหัวใจ โรงพยาบาลรามาธิบดีนัดเข้ารักษา ลุง ส.วันที่ 11 พ.ค.55 แต่ต้องไปเจาะเลือดตรวจก่อนล่วงหน้า 9 วัน ถึง 4 หลอด หลังเจาะเลือดวันที่ 2 พ.ค.55 พอวันที่ 6-7 พ.ค.55 ลุง ส.ก็ยังออกทริปตกปลาทะเลชายฝั่งช่องแสมสารสัตหีบกับเพื่อนนักนิยมเกมส์ตกปลาทะเลด้วยกัน ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นเจ้าของ บริษัท สยาม ทรานส์ เน็ทเวอร์ด จำกัด ได้ห่างเหินตกปลาทะเลไป 3 ปี เพราะกิจการธุรกิจรัดตัว พอมีจังหวะเวลาว่างก็เลยโทรให้ลุง ส.
จองเรือไต๋แขก
แสมสารไว้ ตอน 12.00 น.
ของวันที่ 6 พ.ค.55 ก็ขับรถมารับ ลุง ส.
ที่บ้าน โดยมีคุณสายัณ กับเพื่อนที่เพิ่งจะลงทะเลตกปลาครั้งแรก คุณสงกรานต์ รวม ลุง ส.เป็นสามคน
หลังลงเรือเรียบร้อยตอน 17.00 น.ไต๋แขกก็ออกเรือไปทิ้งสมอรอเวลาตกปลาหมึก และเปิดไฟล่อหมึกเพื่อทำการครอบเอาหมึกขึ้นมาทำเหยื่อตกปลาช่วงเช้ามืด ก็เลยนั่งตกหมึกไปพรางๆ ก่อนครอบ ไต๋แขกบอกว่า จะพาเข้าหมายตกปลาเก๋าใหญ่ เพราะเข้าฤดูมรสุม ปลาเก๋าใหญ่จะขึ้นมาวางใข่ช่วงน้ำตื้น สิบยี่สิบเมตรตามขึ้นซากเรือจมหรือกองหิน
เมื่อใกล้เวลาเช้ามืด หลังครอบหมึกทำเหยื่อเรียบร้อย ไต๋แขกก็ถอนสมอ วิ่งเรือเข้าหมายกองหินระดับน้ำลึกแค่ยี่สิบกว่าเมตร ไต๋แขกก็วิ่งจนดูในจอซาวซ์เดอร์ว่ามีปลามาอาศัยอยู่เยอะหรือไม่ จากนั้นก็ทิ้งสมอจอด เพื่อหย่อนเป็ดเกี่ยวเหยื่อด้วยหมึกเป็น ลุง ส.ประกอบคันเป็ดตกปลาทะเลเป็นคัน “เพาเวอร์จิ๊ก” 5 ฟุตของยี่ห้อ “รูปิด” กับ รอกเบทฯ ของติ๊กก้าทีม 468R. สาย P.E.80 ปอนด์ ของ “มารูเกียว” เป็นชุดตกปลาทะเลที่เหมาะที่สุดของ
ลุง ส. มอบให้คุณสายัณ เป็นคนตกทางกราบขวาของเรือ ส่วน ลุง ส.อยู่กราบซ้ายอีกชุดของอุปกรณ์ตก ลุง ส.เปิดเกมส์ก่อนเป็นปลาเก๋าขนาดเล็กแค่สองกิโล ด้านกราบขวาคุณสายัณ อัด
สร้อยนกเขาขึ้นมาตัวกิโลกว่าๆ ด้านหัวเรือไต๋แขกอัดเอา
หางแซวขึ้นมาอีกตัว พอเกี่ยวเหยื่อหมึกเป็นตัวใหญ่หน่อย ไม้ที่สองของคุณสายัณ ปลาเก๋าใหญ่ก็ฉวยเหยื่อคันคุณสายัณ
ที่ถืออยู่จนโค้งปลายคันจมน้ำ คุณสายัณแกบอกว่าปลาใหญ่มาก อัดสู้กับมันไม่เลยส่งคัน คุณสงกรานต์ช่วยอัดนั่งอัดก็อัดไม่ขึ้น ปลารากสายออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ปิดเบรกสุดแล้ว ส่งกลับมาให้คุณสายัณอัดต่อระหว่างที่ส่งคันกันนั้นเอง ปลาก็เลยหลุดไปเลยไม่ได้เห็นตัวว่าปลาอะไร ตัวขนาดไหน ขนาดตัวเบ็ด
“การ์บา” เบอร์ 15 สองตัวยังง้าง ลุง ส.ก็เลยผูกเบ็ดคันใหม่สองตัวคู่ ใช้สายเอ็น 90 ปอนด์เกี่ยวเหยื่อลงไปใหม่ คุณสายัณ แกถือโศกขึ้นลงๆก็ถูกปลาใหญ่ฉวยเหยื่อร้องร้องลั่น แกดันเบ็ดสุดสาย PE ในรอกยังวิ่งออก ลุง ส.เห็นพอดีเลยตะโกนบอกแกอย่ายอมให้มันรากออกอีก ตั้งหลักแล้วอัดมันขึ้นมา คุณสายัณ ทำตาม ลุง ส.บอกอย่าเปลี่ยนมือ ให้คุณสงกรานต์ช่วยอีกประเดี่ยวหลุดอีก ยังไม่ทันขาดคำ ปลามันกระชากั้นโค้ง ก็เกิดมีอันเป็นไป “คันหักกลางคัน” ปลาก็ยังรากสายออกไปอีก ลุง ส.บอกให้คุณสงกรานต์ รีบจับสายที่ปลาดึงอยู่ ปรากฏว่าสาวสายไม่ขึ้น แต่พอดึงไปดึงมา สายก็ตามมือขึ้นมา แต่สายหรีดกับตาเม็ดขาดไปกับปลา เลยไม่ได้เห็นว่าเป็นปลาอะไร แต่ไต๋แขกบอกว่าเป็นปลาเก๋าลูกหมูหรือไม่ก็ปลาหมอทะเล เลยพอบ่ายก็ตีเรือเข้าฝั่งกลับกันดีกว่า เลยได้แต่ปลาเล็กปลาน้อยกับปลาหมึกที่เหลือจากทำเหยื่อตก ตีรถกลับบ้าน คุณสายัณบ่นอุบว่า เสียดายและเป็นครั้งแรกที่ได้สู้กับปลาขนาดใหญ่ จนไม่มีแรงสู้กับมัน อุตส่าห์ตั้งต้นไม่ให้มันราก แต่ถูกมันกระชากอย่างแรง จึงทำให้คันมีอันเป็นไป หักกลางคัน ลุง ส.เลยบอกว่าลุงเห็นจะๆ กับตาตัวเอง ทั้งยังบอกว่าไม่ต้องกลัวคันหัก กลับมาถึงบ้านนอนคิดไปว่า เข้าโรงพยาบาลรามาฯ รอบนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาตกปลาอีกหรือเปล่าเนอะ...เพราะตกปลาทะเลมาไม่เคยปลาใหญ่ๆ ดึงคันหักกับมือเลยสักคัน แต่เคยเห็นคันของคนอื่นที่กำลังอัดแล้วหักปลายๆ คัน
qqqqq
หลังกลับมาพักได้หนึ่งวันเป็นอาทิตย์ที่ 7 พ.ค.55 พอตกเย็นไก่ คลองถม บอกพรุ่งนี้เที่ยงๆ จะมารับไปตกปลาทะเลที่พัทยา ที่ลุง ส.เคยชวนไว้ ว่ามีเรือตกปลาชายฝั่งที่คุณเปียนักนิยมตกปลาทะเล ที่เป็นสมาชิกของ ลุง ส.ได้โทรไปชวน บอกว่ามีเรือที่ต่อเอาไว้ตกปลาชายฝั่งโดยเฉพาะ ใช้เครื่องเรือเร็ว YAMAHA 40 แรง มีอุปกรณ์พร้อม มีห้องขังเหยื่อเป็น มีที่ปักคันเบ็ด มีไฟล่อหมึก มีสมอหัวเรือและมี “ซาวว์เดอร์” ดูแหล่งปลาและซึ้งใต้น้ำ ซากเรือจมและกองหินใต้น้ำ ไปได้ 4 คน ถ้าจะหลับนอนก็เบียดกันหน่อย นั่นเป็นเรื่องเล็กสิวสำหรับนักนิยมเกมส์ตกปลาฯ เรื่องกินนอนไม่สำคัญ เพียงขอให้ได้ตกหมึกตกปลาเท่านั้น
วันที่เดินทางไปลงเรือ ที่ท่าหาดจอมเทียนเพราะคุณเปียแกเอาเรือรากไปเก็บไว้ที่บ้านแก
เมื่อเอาเรือลงที่ท่าเรือเร็วหาดจอมเทียน คุณเปียแกก็ขับมุ่งไปหาแหล่งจอดตกหมึกทั้งหมึกกล้วยหมึกศอก แต่โชคไม่เข้าข้าง ลุง ส.กับไก่ คลองถม เสียแล้ว เกิดมีเมฆฝนดำทะมึนทั้งลมเอาคลื่นมาใหญ่ขึ้นๆเลยต้องหลบไปริมเกาะล้าน ฝนก็เทลงมาอีก แต่ดีที่มีหลังคาและกันสาดเข้าไปหลบอยู่กลางลำ ก็พอตกหมึกได้ห่างๆ ตัว พอฝนหาย ก็เลยย้ายไปเกาะครกหาตกหมึก ศอกที่นี่อยู่ระดับน้ำแค่ 2 เมตร ชายๆ เกาะ พอตกเวลาตีหนึ่ง ฝนกับคลื่นมาอีก เลยหลบไปจอดนอนริมเกาะครก จนถึงเช้า คลื่นก็ยังสูงสองเมตร จะตกปลาก็ไม่ได้เสียแล้ว เลยบอกคุณเปียกลับขึ้นฝั่งดีกว่า ตกไม่ได้แน่วันนี้
ก็เลยกลับ ก็เลยบอกเอาไว้หมดฤดูมรสุมค่อยมาใหม่ แต่ไม่แน่ว่า ลุง ส. จะมาได้หรือเปล่า เพราะไม่แน่ใจเข้าโรงพยาบาลรามาฯ มะรืนนี้ยังไม่รู้ว่ายมพบาลจะมารับไปตกปลาเมืองผีหรือเปล่า ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะได้มาท่องเที่ยวตกปลาทะเลหรือไม่...กลับถึงบ้านวันที่ 9พ.ค.55 พักผ่อนวันที่ 10 หนึ่งวัน
เช้ามืดวันพุธที่11 พ.ค.55 รีบออกจากบ้านไปถึงโรงพยาบาลรามาธิบดีตามหมอนัด 8.00 น.ในการเข้าห้องพักการรักษาหัวใจ พอไปถึงยื่นบัตรนัดเสร็จก็ไปยังชั้น 2 ตึกสิริกิตติ์ แผนกรักษาโรคหัวใจ เจ้าหน้าที่ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเข้าห้องปฏิบัติการทางหัวใจ แต่ก่อนจะเข้าทำการรักษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะเอาคนไข้ไปนั่งชี้แจงพร้อมญาติสายตรง ถึงขั้นตอนพร้อมทั้งให้ญาติที่ไปด้วยเข้าร่วมรักษากับหมอด้วยการเข้าไปดูการรักษา เมื่อแพทย์ชี้แจงขั้นตอนเสร็จ จะถอนตัวไม่รักษาก็ได้เพราะค่าใช้จ่ายสูงพอสมควรเป็นแสนๆ บาท ถ้าตกลงรักษาก็ให้คนไข้กับญาติเซ็นยินยอม
จากนั้นก็นำลุง ส.เข้าห้องปฏิบัติการรักษา แล้วขึ้นไปนอนเตียงเฉพาะตัว รัดสายที่หน้าอกปลายขา  แล้วทำความสะอาดบริเวณที่ท้องน้อยลงไปถึงหัวเข่า โกนขนรอบบริเวณเส้นเลือดใหญ่โคนขาหนีบ แต่ไม่มีการวางยาสลบ ใช้ฉีดยาชาเริ่มจากแพทย์ฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดโคนขาหนีบข้างขวา ประมาณ 30 นาที เพื่อตรวจว่าเส้นเลือดหัวใจตีบตันกี่เส้น หลังจากนั้น แพทย์ก็จะใช้ขดลวดแยงเข้าไปตามเส้นเลือด เพื่อขยายด้วยวิธีบอลลูนลูกโป่งเข้าไปถ่างให้กว้าง สำหรับตัว ลุง ส.นั้นเส้นเลือดตีบไป 1 เส้นมาเป็นเวลาสิบๆ ปี แพทย์บอกไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เพราะกล้ามเนื้อหัวใจรัดเส้นไปแล้ว แต่เหลืออยู่สามเส้นยังใช้ได้ปกติและได้ทำการขยายเรียบร้อยแล้วแต่ต้องใช้ยารักษาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเท้งทึ้งว่างั้นเถอะ...เบ็ดเสร็จใช้เวลารักษาปฏิบัติการเพียงชั่วโมงครึ่ง ก็เสร็จเรียบร้อย แต่แพทย์จะต้องให้ไปนอนห้องสังเกตการณ์ ด้วยการนอนราบ เหยียดขาข้างขวา ห้ามงอขาหรือขยับขา 6 ชั่วโมง โดยมีพยาบาลผลัดเปลี่ยนเฝ้าดูอาการ ถ้าเกิดมีอะไรแทรกซ้อนผิดปกติ พยาบาลจะรีบตามแพทย์ มาดูอาการทันที แล้วคนไข้รายนั้นจะต้องนอนดูอาการอีก 24 ชั่วโมง ถ้าคนไข้ไม่มีอาการอะไรแทรกซ้อน หลังนอนเหยียดขาผ่านไป 6 ชั่วโมง แพทย์ก็ให้กลับบ้านได้ แล้วให้ไปนอนพักผ่อนที่บ้านได้ แต่ให้ลุกเดินภายในบ้านได้ตามปกติ แต่ห้ามเดินไกลและขึ้นบันได ห้ามยกของหนักเกิน 5 กิโล เมื่อเลย 10 วันก็ทำงานได้ปกติธรรมดาและออกกำลังกายได้ตามปกติ จะมีอาการชาตามกล้ามเนื้อบางวันบ้าง แพทย์บอกไม่เป็นไร จะค่อยๆ หายไปเอง ถ้าจะถามว่าระหว่างที่หมอปฏิบัติการรักษาอยู่นั้น มีความเจ็บปวดร่างกายหรือเปล่า ลุง ส.บอกได้เลยว่า ไม่มีการเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว นอนทำตาปริบๆ มีความนึกคิดไปเองเพราะกลัวจะเจ็บ พอหมอปฏิบัติการเสร็จบอกว่าเสร็จแล้ว จากนั้นก็มีพยาบาลมาช่วยกันพลิกตัวลงไปนอนบนรถเข็นนอนออกจากห้องพัก ไปยังห้องนอนสังเกตการณ์ 6 ชั่วโมง
ลุง ส.มีเรื่องเล่าความจริงให้ท่านผู้อ่านได้ความรู้ ไม่ใช่เป็นเรื่อง “โจ๊ก” นะ ระหว่างที่ลุง ส.นอนเหยียดขาขวาตรงในห้องสังเกตการณ์อยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เกิดปวดปัสสาวะ บอกพยาบาลที่นั่งเฝ้าอยู่ พยาบาลก็เอากระบอกปัสสาวะชายมาให้ถ่าย แต่มันเกิดอาการไม่มีกำลังขับปัสสาวะออกมาและปวดท้องน้อยมาก ก็รีบบอกพยาบาลๆ ก็รีบไปตามหมอมาตรวจ หมอมากดตรงท้องน้อยก็ยิ่งปวดมากขึ้น หมอจึงสั่งให้พยาบาล 2 คนเอาเครื่องมือกับสายยางยาวเกือบเมตรมาทำการสวนเอาปัสสาวะออกนางพยาบาลทั้งสองคนรูดม่านรอบเตียงแล้วถอดกางเกงออก อีกคนทำหน้าที่ปลุก “นกเขา” ของลุง ส.เพื่อจะให้เกิดการตื่นตัว เลยพยาบาลอีกคนต้องมาช่วยดึง “คอนกเขา” ของลุง ส.
ที่อ่อนปวกเปียก แล้วพยาบาลก็ยัดสาย
ยางเข้าไปในท่อปัสสาวะ อีตอนนี้ซิว่ามันทั้งเจ็บและเสียวแปรบๆ ถึงขั้วหัวใจ ก็เพราะท่อปัสสาวะมันหดตามตัวของ “นกเขา” นั่นเอง กว่าปลายสายยางจะถูกยัดเข้าไปถึงในกระเพาะปัสสาวะ เล่นเอาในแทบหยุดเต้น ผู้อ่านที่เป็นชายก็คิดกันเอาเองก็แล้วกันว่า มันทั้งเสียวทั้งเจ็บแสบเพียงใด หลังปลายสายยางเข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะ พยาบาลก็ใช้ลูกยางบีบแล้วดูดเอาปัสสาวะออกจนหมด ทำให้โล่งท้องนอนสบาย มาเสียวสุดๆ อีกทีตอนดึงสายยางออกที่พยาบาลพยายามปลุก “นกเขา” ให้สู้มือ ก็เพราะเวลาสวนสายยางเข้าไปทำให้คล่องตัวและ
ไม่เจ็บหรือแสบมากนั่นเอง (ถ้านกเขาแข็งตัว) อายุ 78 ปีแล้วนะ ห่างเหินทางเพศมา 20 ปีแล้ว นกเขามันจะไปสู้มือพยาบาลได้อย่างไร
จากนั้นลุง ส.นอนครบ 6 ชั่วโมง หมอก็ให้กลับบ้านได้ เรื่องปัสสาวะก็ขับถ่ายได้ตามปกติธรรมดา เพียงแค่เวลาถ่ายแล้วแสบท่ออยู่แค่ 2 วันก็หายเป็นปกติ การท่องเที่ยวโรงพยาบาลของ
ลุง ส.ครั้งนี้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ทันสมัยอีกมากมายในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ ตั้งแต่ปี 2535 จวบจนถึงปี 2555 ลุง ส.ทัวร์โรงพยาบาลถึง 7 โรงพยาบาล ได้ประสบการณ์และความรู้มากมาย เป็นชีวิตของคนมีเวรมีกรรมคนหนึ่ง แต่ก็ยัง
ไม่เลิกตกปลาฯ ทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืดและปลาสองน้ำ
qqqqq
หลังทำการขยายหลอดเลือดและบอลลูนหัวใจผ่านมาได้เดือนกว่าๆ เพื่อนที่เคยร่วมทริปตกปลาทะเลมาด้วยกัน ไก่เจ้าของกิจการร้านเย็บเบาะฯ สุทธิสาร วิภาวดี ก็โทรมาหาบอกว่าฤดูนี้ออกทะเลไม่ได้ ออกไปหาแหล่งตกปลา 2 น้ำบางปะกงกันดีกว่า เพราะไม่ได้ออกตกปลามา 2 เดือนแล้ว ตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ 8 ก.ค.55 จะมารับไปตกปลากะพงขาวที่แถวๆ ฉะเชิงเทรา บางปะกง แต่เป็นปลาบ่อเลี้ยงบริการที่เปิดใหม่ใหญ่โต พื้นที่บ่อกว้างขวางมีปลากะพง ปลากดอะเมซอน ให้ตกด้วยเหยื่อปลอม เพราะปลาแม่น้ำบางปะกง ช่วงนี้น้ำเสียไม่ค่อยมีปลา ก็เลยหันไปพักผ่อนตกปลาบ่อ ชื่อบ่อตกปลาและสวนอาหาร ฟรีสไตล์ ฟิชชิ่งปาร์คและสวนอาหาร ขับรถแยกจากมอเตอร์เวย์ ที่ก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง วิ่งไปเส้นทางถนนฉะเชิงเทราประมาณ 5 กิโล  ปากทางเข้าวัดปราสาทสุนทรซ้ายมือ ถ้ามาจากแปดริ้ว 10 กิโล ทางเข้าอยู่ขวามือ วิ่งรถเข้าถึงบ่อ ฟรีสไตล์ ฟิชชิ่งและสวนอาหาร 2 กิโลจากปากทาง มีป้ายบอกทางตลอด
ปลาที่ปล่อยเลี้ยงไว้ เพื่อเกมส์การตกปลาด้วยวิธีใช้เหยื่อ RAPALA  เป็นเหยื่อปลอม มีปลาล่าเหยื่อเป็น คือปลากะพงขาวกับปลากดจากอะเมซอน เป็นปลาที่ชาร์ทเหยื่อปลอมดีสำหรับนักนิยมตีเบ็ดด้วยเหยื่อปลอม จะเป็นคันรอกเบทฯ รอกสปิน และคันรอกฟรายได้ทั้งนั้น สำหรับค่าบริการวันละ 150 บาทต่อคนต่อ 1 คัน เบ็ด แต่เปลี่ยนคันตกได้ทั้ง 3 แบบ ทางบ่อเขามีอาหารเครื่องดื่มไว้บริการทุกชนิด ปลาที่ตกขึ้นมาจะทำอาหารรับประทานก็นไปชั่งน้ำหนักตามราคาที่ทางบ่อกำหนดไว้เป็นกิโล ส่วนสถานที่กว้างขวาง สะดวกสบาย บรรยากาศอยู่กลางทุ่งนาข้าว ดูตามภาพที่ลุง ส.ถ่ายมาประกอบเรื่องก็แล้วกัน ลุง ส.ก็เพิ่งไปมาเป็นครั้งแรก เพราะออกตกปลาทะเลฤดูนี้ไม่ได้ ก็เลยไปแก้เหงาเอามือกับพรรคพวกและนั่งกินอาหารที่เลิศรสจากปลากระพงสดๆ เพราะหมอบอกเอาไว้ให้กินเนื้อปลามากๆ





วัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม


หนังสือพิมพ์ไทยสยามเปิดประตูวัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม 
วัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม ตั้งอยู่เลขที่ 85 บ้านท่าเสา หมู่ที่ 2  ต.หาดท่าเสา อ.เมือง จ.ชัยนาท
หลวงพ่อคง คงฺคปญฺโญ มีเชื้อสายเป็นชาวเมืองกำแพงเพชร ตัวหลวงพ่อเองน่าจะเป็นคนท้องถิ่นบ้านประจำรัง (บึงจำรัง) ต.หาดท่าเสา อ.เมือง จ.ชัยนาท เพราะในปัจจุบันมีญาติของท่านสืบเชื้อสายอยู่ในหมู่บ้านประจำรัง ท่านเกิดที่ใดไม่ปรากฎหลักฐาน เกิดเมื่อวันจันทร์ ปีมะเมีย พ.ศ.2353 เป็นปีที่ 2 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มรณภาพ ปีฉลู พ.ศ.2456 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มีอายุรวม 103 ปี นับว่าท่านมีอายุยืนยาวถึง 5 แผ่นดิน หรือ 5 รัชกาล ของพระมหากษัตริย์ไทย หลวงพ่อน่าจะอุปสมบทในปี พ.ศ.2374 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ พ.ศ.2394 ขณะอายุย่าง เข้าปีที่ 42  คือตอนปลายของรัชกาลที่ 3  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชกาลที่ 6  ท่านดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌายะเป็นเวลาถึง 4 แผ่นดิน
ศิษย์ของหลวงพ่อมีทั้งฆราวาสและบรรพชิตจำนวนมาก  หนึ่งในนั้นที่เป็นเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงที่หลายคนรู้จักก็คือ “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า” อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ผู้เป็นอาจารย์ของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อดีตเสนาบดีกระทรวงทหารในรัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี
เรื่องอภินิหารอันน่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อคง ท่านมีครบ 3 ประการ คือ
อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์อันอัศจรรย์ คือแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ
อาเทศนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์ คือรู้วารจิตของผู้อื่น
อานุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนอันเป็นอัศจรรย์
จะขอยกตัวอย่างของอภินิหารย์ทีเลื่องลือกันแต่ซักตัวอย่างหนึ่ง ดังนี้
เรื่องนี้พึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2544 เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2544 เรือดูดทรายของเอกชนลำหนึ่งแล่นมาจอดดูดทรายในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัด ตรงกับอุโบสถของวัดที่กำลังบูรณะปฎิสังขรณ์ใหม่ เมื่อมาถึงใหม่ๆ อาจจะเพราะเคยเห็นเรือดูดทรายลำอื่นเคยดูดมาบ้างแล้ว แต่เรือดูดทรายลำอื่นๆไม่เคยมาดูดทรายบริเวณหน้าวัด มีแต่เรือลำดังกล่าวที่มาดูดทรายตรงหน้าวัดและตรงกับอุโบสถพอดี ทราบว่า มีคนในกลุ่มเรือดูดทรายดังกล่าวได้พูดว่า “จะดูดให้โบสถ์ทรุดเลย” ซึ่งอาจจะเป็นการพูดเล่นกันในหมู่เพื่อนฝูง แต่จะเป็นการจาบจ้วงหรือไม่ ต่อมาไม่นานเรือลำดังกล่าวได้จมอยู่ตรงที่ดูดทรายบริเวณนั้นนั่นเอง เจ้าของกิจการดังกล่าวได้พยายามให้นักประดาน้ำช่วยค้นหาชิ้นส่วนที่สำคัญ แต่ไม่สำเร็จเพราะทรายไหลมาทับมากจนทับมากจนถอดไม่ได้ หลังจากดำน้ำได้ไม่กี่วัน นักประดาน้ำก็ถูกฆาตกรรม และหลังจากนั้น เสี่ยเจ้าของกิจการก็ให้เรือดูดทรายลำใหม่มาดูดทรายหน้าวัดอีก ซึ่งก็จมอีก ประชาชนต่างพูดกันว่า เป็นเพราะกิจการเรือดูดทรายดังกล่าวไม่เคารพนับถือหลวงพ่อจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
นี่เพียงหนึ่งในเรื่องเล่ามากมายของหลวงพ่อคง คงฺคปญฺโญ เจ้าอาวาสองค์แรก แห่งวัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม (วัดบางกะพี้)

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หนังสือพิมพ์ไทยสยามท้าให้ชิม


หนังสือพิมพ์ไทยสยาม

คอลัมน์ท้าให้ชิม


 วันนี้รายการ “ท้าให้ชิมกับไทยสยาม” ย้อนกลับมาใหม่จะพาคุณผู้อ่านนักเปิบ นักชิม นักโส๊ยทั้งหลาย
ลัดเลี้ยวเลาะไปตามเส้นทางพุทธมณฑล สาย 4 หน้าหมู่บ้านร่วมเกื้อ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อตามไปดูและพิสูจน์รสชาดอาหารรสเด็ด ที่ขึ้นชื่อลือลั่นว่า..อร่อยที่สุดในประเทศ “ร้ายเจ๊ไก่ต้มยำหัวปลาเก๋า” ถ้าเอ่ยชื่อนี้แล้ว  สำหรับบรรดานักชิมแล้วต้องยกนิ้วให้ ไกลแค่ไหนก็ดั้นด้นมาโส๊ยจนได้ เพราะต้มยำหัวปลาเก๋า ร้านเจ๊ไก่ที่นี่ มันแซ่บๆ อีหลี
สมคำร่ำลือ เป็นร้านอาหารริมทางแต่รสชาติระดับโรงแรม 5 ดาว ลูกค้าตรึมแน่นขนัดทุกวัน ไม่มีวันหยุด
การค้าขายคล่องตัวทุกอย่างการเงินเดินสะพัด ไม่ขัดไม่ฝืดเช่นร้านอื่นๆ
แม้แต่ระดับ “ขุนพลนักชิม” แห่งไทยสยาม คือ ท่านผอ.วิสูตร ศักดิ์เกษมศานต์ บรรณาธิการอำนวยการพร้อมทีมงานก็อดที่จะมาพิสูจน์น้ำย่อยต่อยกระเพาะ ที่ร้านเจ๊ไก่เช่นกัน
งานนี้  “ขุนพลนักชิม” ต้องยกนิ้วให้เพราะแค่ช้อนเดียวของน้ำต้มยำหัวปลาเก๋าร้อนๆ ในหม้อไฟของร้าน
เจ๊ไก่ พุทธมณฑลสาย 4 หยดแมะแตะแค่ปลายลิ้นเท่านั้น อื้อ ฮือ บอกได้เลยว่า อร่อยที่สู๊ด..ในประเทศไทยจริงๆ
ในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มันผันผวน บรรดา
ผู้ประกอบการ sme น้อยใหญ่ทั้งหลายต่างก็ดิ้นรนแข่งขันปั่นเม็ดเหงื่อ เพื่อหาเงินหาทองกันตัวเป็นเกลียว บ้างก็ระดมโฆษณาลดแหลกแจกดะ เพื่อดึงดูดดึงใจลูกค้า หวังคว้า
กำไรงามๆจากธุรกิจต่างๆ ..แต่ที่นี่ ร้านเจ๊ไก่ พุทธมณฑลสาย 4 นครปฐม กลายเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกแหวกตลาด ผู้ประกอบการ sme รายอื่นๆ ต้องวิ่งหาลูกค้ากันสนั่นเมือง แต่ที่นี่ลูกค้ากลับแย่งกันเข้าคิว ยอมยืนรอ นั่งรอ นานแค่ไหนก็จะรอๆๆ เพราะมันอร่อยจริงๆ งานนี้คนที่ตื่นเต้นที่สุดจากการเข้ามาเยี่ยมร้านของ ทีมงาน นสพ.ไทยสยาม คงหนีไม่พ้น “ เฮียนึก” คุณอำนาจ น้อมบุญลือ พร้อมด้วยศรีภรรยาคู่บุญคู่ชีวิตคนเก่ง “เจ๊ไก่” คุณไกรศร วรรณศิริ
“เฮียนึก” ได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยเคล็ดลับถึงวิธีการดึงดูดใจลูกค้าโดยไม่หวงวิชากับรายการ
“ท้าให้ชิมกับไทยสยาม” ว่าจริงๆ แล้วธุรกิจผมทำมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว เดิมเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว ถือว่าดวงผมเหมาะกับการทำธุรกิจอาหารเลยยึดเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวมาจนถึงปัจจุบัน ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจอยู่นี้ ผมมีความเชื่อเรื่องบุญกุศล ซึ่งมันสำคัญมากกับการมีชีวิตของคนเรา เวลามีงานบุญที่ไหนผมและครอบครัว จะชอบไปร่วมบุญโดยตั้งโรงทานช่วยเหลือในงานบุญต่างๆ อยู่ตลอดไม่เคยขาด ผมคิดว่า “บุญ” เท่านั้นที่จะช่วยให้ชีวิตของคนเราเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขสมหวังได้จนถึงทุกวันนี้ครับ
“เฮียนึก” ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยแววตาที่มีความสุขและความภูมิใจในชีวิตธุรกิจตนเองว่า...ผมเชื่อว่าบุญกุศลที่ผมและครอบครัวทำมาตลอด ได้ดลบันดาลให้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ครั้งหนึ่งผม
ไม่คิดว่าจะโชคดีได้พบกับบุคคลสำคัญ คือ..“ท่านขุน
ทรงชัย”.. แห่งพุทธมณฑล ปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่วัย 80 ปีเศษ  ท่านให้โชคให้ลาภผม ซึ่งมิใช่แก้วแหวนเงินทอง แต่เป็นมหาขุมทรัพย์ ทางปัญญาให้ผมทำมาหากินท่านได้บอกผมว่า .. “จำให้ดีถ้าไม่รักจะไม่บอก ร้านอาหาร
โต้รุ่งนั้น ควรให้ความสำคัญเรื่องแสงสว่างในร้านให้มากๆ  เพราะเป็นเรื่องฮวงจุ้ย ต้องติดตั้งหลอดไฟให้สว่างแจ้งโร่เข้าไว้ เพราะคนจีนเขาถือ คนจะเข้ากิน ส่วนอาหารต้องมีสีสัน สด สะอาด ปลอดภัย ราคาเป็นธรรมแก่ลูกค้า อาหารออกจากเตาต้องระอุมีกลิ่นไออบอวนถึงโต๊ะลูกค้าทันที
การบริการต้องประทับใจ และข้าวสวยต้องมาหลังกับข้าวอยู่เสมอ จำไว้นะ..” นี่คือเคล็ดลับทางปัญญาที่ท่านให้กับผม ผมกราบขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสนี้เช่นกันกับ ธุรกิจอาหารโต้รุ่ง  ที่ท่านขุนทรงชัยชี้ขุมทรัพย์ให้ผมและได้นำมาปฏิบัติจนธุรกิจประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้
“เฮียนึก” เล่าต่อว่า ทุกวันนี้ธุรกิจผมรับงานไม่หวาดไม่ไหว ทั้งงานนอกงานใน ไหลมาเทมา จนบางครั้งต้องบอกปฏิเสธลูกค้าไปเพราะงานเข้าเยอะจริงๆ ลูกน้องว่าจ้างขณะนี้มี 15 คน แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน ลูกน้องก็ขยันขันแข็งดี ซื่อสัตย์ เอางานเอาการทุกคน มีลูกค้า
คณะหนึ่งอยู่แถวดอนเมือง เขาได้รู้จักผมทาง นสพ.
สยามรัฐขณะที่เขานั่งอ่านอยู่บนเครื่องบิน พอเขาลงมา
จากเครื่อง รีบโทรมาที่ร้านทันที สอบถามเส้นทางและก็ได้มาทานอาหารที่ร้านผม เขามาเป็นคณะประมาณ 7-8 คน
จนเป็นลูกค้าขาประจำจนถึงทุกวันนี้  ลูกค้าส่วนใหญ่มาจากไกลๆ เช่นปริมณฑล รึบ้างต่างจังหวัดก็มี ต้มยำหัว
ปลาเก๋าที่นี่ถูกมาก คิดเป็นชามถ้าทานที่ร้าน ชามละ 80 บาท ถ้าใส่ถุงกลับบ้าน 100 บาท ถ้าตั้งหม้อไฟแค่ 150 บาท เท่านั้น และอาหารขึ้นโต๊ะอื่นๆราคาประหยัดมาก ต่างจากร้านอื่นๆแพงกว่าตั้งเยอะ เศรษฐกิจอย่างนี้ ต้องเห็นใจสงสารไม่ควรฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภค ลูกค้าที่ได้มาอุดหนุนร้านผมก็ต้องขอขอบพระคุณทุกท่าน ผ่านรายการ ท้าให้ชิม
กับไทยสยาม มา ณ โอกาสนี้
ด้วยนะครับ ผมถือว่าการทำธุรกิจอะไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรมีคุณธรรมต่อผู้บริโภคด้วย ถือว่าเราได้ช่วยเหลือสังคมไทยในยามที่ประเทศชาติเราประสบปัญหาวุ่นวายมากมาย แค่นี้ผมและครอบครัวก็ภูมิใจแล้วครับ
  หลังจากที่ท่าน ผอ.วิสูตร และทีมงานใช้เวลาโส๊ยแซ่บๆ
กับอาหารอร่อยทุกจานประมาณ 3 ชั่วโมงในการพบปะสังสรรค์ อย่างเกษมสำราญแล้ว “ป๋าใหญ่แห่ง
ไทยสยาม”ก็ลุกขึ้นรีบยื่น นสพ.ไทยสยามให้ 1 ฉบับ
ให้แก่ “เฮียนึก” พร้อมร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกัน
ทั้งเจ้าของร้าน “เฮียนึกและเจ๊ไก่” กุ๊ก เด็กเสริฟทั้งร้านดีใจกันยกใหญ่กับการมาเยี่ยมของรายการ “ท้าให้ชิมกับ
ไทยสยาม” ในครั้งนี้ นำทัพโดย ผอ.วิสูตร  ศักดิ์เกษมศานต์ เจ้าของฉายา “ขุนพลนักชิม” เพราะตระเวนชิมอาหาร
แซ่บๆ มาแล้วทั่วประเทศและต่างประเทศอีกบ่อยครั้ง ก็ยังออกปากชม จึงมีประสบการณ์กล้าการันตีว่า ต้มยำหัวปลาเก๋าที่นี่รสชาติเด็ดจริงๆ ครบเครื่อง และที่สำคัญงานนี้ อดขอบคุณในน้ำใจอันงามๆ ของ ท่าน อ.กิตติชัย เปียวัฒน์ และภรรยาคนสวยไม่ได้ เพราะเป็นผู้แนะนำร้าน ท้าให้เรามาชิม มาพิสูจน์และสัมผัสในบรรยากาศที่โล่งๆ แบบธรรมชาติ..สดชื่น..ยังไงท่านนักชิมทั้งหลายลองพิสูจน์ได้ทุกวันนะคะ ที่ร้านเจ๊ไก่ต้มยำหัวปลาเก๋า หน้าหมู่บ้าน
ร่วมเกื้อ ถนนพุทธมณฑลสาย 4 อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา บ่าย 3 โมง-ตี 1 ทุกวันไม่มีวันหยุด หรือสอบถามเส้นทางสั่งจองอาหารทั้งในและนอกสถานที่
ได้ที่หมายเลขโทร. 089-6702976 งานนี้ รายการ “ท้าให้ชิมกับไทยสยาม” รับรองไม่ผิดหวังค่ะ..

พูดจาภาษาจีน


หนังสือพิมพ์ไทยสยาม

พูดจาภาษาจีน

เหยินเล่ย

เหยิน เป็นสำเนียงจีน แมนดาริน ความหมายคือ คน หรือมนุษย์
เล่ย ความหมายคือ ชาติกำเนิด หรือชาติพันธุ์
ฉะนั้น “เหยินเล่ย” คือ ชาติกำเนิดแห่งมนุษย์
มนุษย์ เป็นสัตว์สองเท้า แต่ถือเป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์ทุกคนมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และนับถือศาสนาแตกต่างกันไป แต่ข้อพิเศษคือสมองเป็นเลิศกว่าสัตว์ทั้งหลายในโลก มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาด้านต่างๆ มีจิตสำนึก รู้ผิดชอบชั่วดี รู้โคตรเง่าเหล่ากอของตนเองว่ามาจากแห่งหนตำบลใด นี่คือข้อพิเศษของ “เหยินเล่ย” แต่ในระยะสิบปีย้อนหลัง เป็นที่น่าอนาจที่ประเทศชาติไทยเกิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ขึ้นในสังคม เป็นมนุษย์แต่ส่วนรูปลักษณ์ใบหน้า แต่เป็นมนุษย์สี่เท้า ที่ว่าสี่เท้าเพราะจิตใจเหมือนสัตว์เดรัจฉาน แต่ยังโชคดีที่เป็นมนุษย์สัตว์สี่เท้าเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่เชื้อเดรัจฉานก็น่าห่วง เพราะสามารถแพร่ติดอาจารย์ในสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษาหลายแห่ง และนักวิชาการบางคน แม้กระทั่งนักการเมืองก็ไม่วายติดเชื้อร้ายไปด้วย และในชนบทหลายแห่งก็มีการติดเชื้อแล้ว
วิธีการสังเกตว่าใครติดเชื้อร้ายเดรัจฉานนั้น ดูจากพฤติกรรมของมนุษย์สี่เท้าเหล่านี้ ซึ่งไม่คิดว่าตัวเองเป็น “เหยินเล่ย” จะไม่ยอมรับรู้ว่า ที่ตัวเองมีแผ่นดินอยู่มีบ้านคุ้มกะลาหัว มีข้าวกิน มีที่มาอย่างไร เพราะใคร เพราะมันเหล่านั้นคิดเพียงว่าตัวเองมีความสามารถ ตัวเองร่ำรวย ตัวเองมีมรดกของพ่อแม่ โดยไม่คิดถึงประวัติศาสตร์ของชาติไทย ว่าแผ่นดินไทยที่อยู่ทุกวันนี้ เพราะพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่พระนเรศวรมหาราช สมัยกรุงศรีอยุธยา ทรงกู้แผ่นดินด้วยสองพระหัตถ์ที่กวัดแกว่งอาวุธป้องกัน และขับไล่ข้าศึกให้พ้นแผ่นดินด้วยความเหน็ดเหนื่อยเสียสละ เพียงเพื่อให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ได้อยู่อย่างมีความสุข จนกระทั่งปัจจุบัน ประเทศไทยมีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงทศพิธ
ราชธรรม ดูแลราษฎร์ทั่วประเทศด้วยความเหน็ดเหนื่อยและห่วงใย จนเกิดโครงการหลวงหลายโครงการ ซึ่งล้วนทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข
กระนั้นก็ตาม “เหยินเล่ย” สายพันธุ์สี่เท้ากลุ่มนี้ ยังบังอาจคิดแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ โดยพยายามทุกวิถีทางที่จะลดพระราชอำนาจ และกลุ่มอมนุษย์ฝูงนี้ ยังบังอาจพูดจาฉวัดเฉวียนจาบจ้วงเบื้องสูงต่อหน้าสาธารณะชน โดยเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่กล้าเอาความ แต่สวรรค์มีตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระสยามเทวาธิราชแห่งเมืองสยามมีจริง ผู้ใดบังอาจหมิ่นฟ้า เหยียบย่ำหัวใจคนไทยทั้งชาติ เวรกรรมยุคนี้ติดจรวด วันหนึ่งเวรกรรมจะตามทันไม่เฉพาะตัวเอง แต่จะตามสนองทายาทอย่างไม่มีวันสิ้นสุดคำสาปแช่งจากประชาชนหลายสิบล้านคน ซึ่งคนโบราณว่า พิษสงคำสาปแช่งจากมวลมหาชนนั้นศักดิ์สิทธิ์ พิษสงนั้นยิ่งกว่าพิษของอสรพิษล้านๆ เท่า และวันหนึ่ง
“เหยินเล่ย” สายพันธุ์สี่เท้าหัวใจเดรัจฉานก็คงสูญพันธุ์จากผืนแผ่นดินไทย เพื่อแผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น และเป็นที่อยู่อาศัยของคนไทย และมีหัวใจไทยเท่านั้น
ใหญ่เยาวราช

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หนังสือพิมพ์ไทยสยาม


หนังสือพิมพ์ไทยสยาม 

เมื่อ 23 ปีที่แล้ว สมัยที่ยังไม่มี นสพ.ไทยสยาม มีเพียงนาย วิสูตร ศักดิ์เกษมศานติ์ นายสง่า ทิพย์รัตน์ พี่กิตติ สุคนธายนต์(ไทยรัฐรุ่นเก่า)นายเดชา จุลละโพธิ์(ดาวสยาม)ยังจับมือกันเป็นกลุ่มก้อน ทำงานสะท้อนสังคม เขียนข่าวติติงสังคมกันประจำ ฝากข่าว..(ในหัวหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ๆ)ได้ลงบ้าง...ไม่ได้ลงบ้าง จนเกิดความน้อยใจ จึงได้ร่วมปรึกษาหารือกันจนได้มาขอหัว"หนังสือพิมพ์ไทยสยาม"เป็นหัวรายวัน ซึ่งแต่กาลก่อน..ขอยากส์มากๆ เพราะมี ป.ร.42(เพิ่งมายกเลิกในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ)
ระยะแรกของหนังสือพิมพ์ไทยสยาม ได้ออก..เป็นไปอย่างราบรื่น ได้ร่วมฝากส่งกับสายส่งของฉบับที่ยักษ์ใหญ่..ไปทั่วประเทศ
ในสภาวะที่ยี่สิบสามปีได้ผ่านพ้นลุล่วงไป ทำให้หนังสือพิมพ์ไทยสยาม ได้มีโอกาสก้าวสู่ปี24 การสร้างตำนานหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งท่าน ผอ.ศักดิ์เกษมศานติ์ พยายามที่จะประจงสร้างอย่างสุดฝีมือ โดยระดมมันสมองทุกส่วน..ของร่างกาย..ของหลายชีวิต มาประดับไว้ในไทยสยาม

ค่ายนี้แม้วันนี้จะยังมีกำลังพลคนน้อยนิด ในส่วนของคนทำงาน แต่ความคิด..ความอ่าน นั้นกว้างไกล..มหาศาลประดุจดั่งกองเรือรบ ที่แล่นฝ่าสายน้ำ ในน่านนทีมหาสมุทรอย่างลึกล้ำชำนาญการ..และชำนาญทางเหมือนดั่งคำของท่านวิสูตรฯเคยกล่าวย้ำเตือนกับลูกน้องเสมอว่า"เราจะสร้างทีมงานข่าวของเราให้แข็งแกร่ง ประดุจดังกองทัพ และเป็นกระบอกเสียงอันเที่ยงธรรม"
นี่คือเจตจำนงของพี่ใหญ่ไทยสยาม ที่เป็นนักคิดนักเขียน และนักต่อสู้ตัวยง ที่ทุ่มเททั้งชีวิตในการผลิตหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งท่านรักมาก ...มากกว่าสิ่งใดๆ จนบางครั้งเคยได้ยินจากปากของท่านเองว่า"เรา..บางทีก็ท้อเพราะคนในครอบครัวไม่เอาด้วย"การมีชีวิตเป็นนักหนังสือพิมพ์นั้น มันต้องต่อสู้เกือบตลอดชีวิต ต่อสู้ชนิด ลูกเมีย บางครั้ง..ยังสั่นหัว
การทำงานของท่านเห็นแล้วว่า เป็นชีวิตของนักสู้จริงๆไม่ทอดทิ้งลูกน้อง เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน อิ่มก็อิ่มด้วยกัน อดก็อดด้วยกัน นี่เป็นชีวิตจริงที่ต้องนำมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งบางเรื่องก็ยังไม่กล้าเขียน เพราะกลัวท่านจะสะเทือนใจ
ชีวิตของท่านที่ได้ต่อสู้กับการทำงานหนังสือพิมพ์มาโดยตลอด และข่าวส่วนใหญ่จะเป็นข่าวขุดคุ้ย..เจาะลึก และค้นหาความจริง นำออกมาตีแผ่ จนเป็นเรื่อง..เป็นราว ถูกฟ้องร้องมาหลายสิบคดี  แต่เป็นดั่งสโลแกนของหนังสือพิมพ์ไทยสยามที่ว่า หนังสือพิมพ์เพื่อความเสมอภาคของประชาชนและมวลสมาชิกทั่วประเทศ เพราะปัจจุบันมียอดสมาชิกหลายหมื่น
ในอดีตหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้ทั่วประเทศ แต่ปัจจุบัน เราดูแล..เฉพาะสมาชิก
เป็นหนังสือพิมพ์ที่หยิ่ง
เพราะใช้กระดาษเนื้อดี ปกหน้า-ปกหลัง สี่สีมาโดยตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ถ้าท่านจะให้ความเป็นสมาชิก ก็ต้องขอขอบคุณ
ด้วยความขอบคุณ